นิ้ง กุลสตรี ตั้งใจเลี้ยง น้องฟิจิ  แม้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ

นิ้ง กุลสตรี ตั้งใจเลี้ยง น้องฟิจิ แม้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ

เรียกได้ว่ายังเป็นนางเอกสาวที่อยู่ในความคิดถึงของใครหลายคน สำหรับสาว ‘นิ้ง กุลสตรี ศิริพงศ์ปรีดา’ เคยผ่านผลงานละคร แสดงคู่กับพระเอกฮอตมาแล้วมากมาย จนได้ชื่อว่าเป็นนางเอกละครแถวหน้าอีกคนหนึ่งของวงการของบ้านเรา

แต่แล้วเธอก็เลือกเดินตามความฝัน ประกาศลาวงการบันเทิงอย่างถาวร ผันตัวเองออกจากวงการบันเทิงไปเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินไทยแอร์เอเชีย และคบหากับ นาวาอากาศเอก พิตตินันท์ อินทรศักดิ์ ซึ่งเป็นกัปตันสายการบินเดียวกัน และได้แต่งงานกันในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549 นานกว่า 16 ปีแล้ว ทั้งนี้หลายคนไม่ทราบถึงสาเหตุทำไมสาวนิ้งไม่มีลูกซักที โดยเจ้าตัวได้กล่าวว่า “นิ้งห่างจากวงการบันเทิงไปประมาณ 12 ปีแล้ว ตอนแรกก็มีงานติดต่อมาบ้าง มีสัมภาษณ์ออกรายการนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีแล้ว เพราะเขาคงรู้ว่านิ้งขอพักงานด้านนี้เลย อยากโฟกัสงานบนเครื่องบินอย่างเดียว เรียกว่าลาวงการแล้ว แต่ไม่ใช่ว่ารวยหรืออะไรนะคะ แต่การเป็นแฮร์โฮสเตส มันไม่ใช่แค่เราสอบได้แล้วไปบินหรือเดินสวย ๆ ในแต่ละวัน เราต้องทำหน้าที่ดูแลผู้โดยสารให้ดีที่สุด ซึ่งในใจลึก ๆ ก็ยังคิดถึง งานในวงการมาก แต่ต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้ดีที่สุดก่อนค่ะ ส่วนความรักของนิ้งก็ดีมากครบรอบ เรียบง่ายไม่หวือหวา มีความสุขในทุกวัน ต่างคนต่างทำงานแล้วกลับมาเจอกันก็แฮปปี้ดี

เราอยากมีลูกมาก ทุกครั้งที่ถามก็จะร้องไห้ทุกทีเพราะไปทำมาทุกอย่างแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ คิดว่าคงไม่มีโอกาสแล้วค่ะ ช่วงนั้นบริษัทดีมากให้โอกาสนิ้งพักไปทำน้องแต่ก็ไม่ติด ทำอยู่หลายรอบ จนตอนนี้หยุดแล้ว เพราะเรารู้สึกว่าเราเครียดเกินไป สามีนิ้งเลยพูดมาคำหนึ่งว่าเราควรจะจับมือกันและอยู่ด้วยกันเพราะตอนแก่ถึงเรามีลูก เราก็ไม่รู้ว่าลูกจะเลี้ยงเรารึเปล่า แค่เราดูแลกันก็พอ เลยหันมาเลี้ยงหลานแทนค่ะ” ซึ่งหลายคนคงทราบกันดีว่า ช่วงที่ผ่านมา ‘นิ้ง กุลสตรี’ ไม่สบายมานานหลายปี อย่างที่รู้วาตอนนี้เจ้าตัวนั้น กำลังอยู่ระหว่างการรักษาตัว จนช่วงเวลาหนึ่งเธอต้องนอนติดเตียงนานเกือบปี และตอนที่พยายามจะลุกขึ้นเดิน อีกครั้งก็ไม่ได้ผ่านมาได้ง่าย ๆ เลย อย่างไรก็ตามถ้าไม่อดทนสู้ในวันนั้น ก็อาจจะไม่สามารถกลับมายืนและกลับมาเดินได้อย่างในทุกวันนี้ แต่เพราะมีกำลังที่ดีจากสามี หลานชาย และกำลังใจสำคัญจากครอบครัวทำให้เธอผ่านมาได้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ siamtoday.com

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ